Food Fact

Food Fact

How cocoa & chocolate is made

เก็บเกี่ยว ในผลของต้น Cacao 1 ผล จะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 20-40 เมล็ด   นำฝักโกโก้มากะเทาะเปิดออก จากนั้นนำไปหมักประมาณ 2-8 วัน ซึ่งการหมักทำให้ เมล็ดโกโก้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของโกโก้ หลักจากหมักได้ที่แล้ว เมล็ดโกโก้ก็จะถูกนำไปตากแห้ง ก่อนทำความสะอาด และส่งไปตามโรงงาน   การคั่วทำให้รสชาติของ โกโก้มีมิติเพิ่มมากขึ้น + ลดความเปรี้ยวลง   เมล็ดโกโก้ที่ถูกคั่วแล้ว จะกะเทาะเปลือกเพื่อเอาเนื้อข้างในออกมากซึ่งเรียกว่า โกโก้นิบ (Cocoa nibs) หลังจากนั้น Cocoa nib จะถูกนำไปบด จนมีลักษณะเป็นของไหล หนืด ที่เรียกว่า Chocolate liquor หรือที่เรียกกันว่า Baking Chocolate, unsweetened chocolate Chocolate Liqour จะถูกบีบอัดเพื่อแยกส่วนของ Cocoa mass กับ Cocoa Butter ออกจากกัน   การกวนผสม เป็นการนำเอา chocolate liquor มาผสมกับ น้ำตาล นมผง ไขมันโกโก้ ในสัดส่วนที่ต้องการเพื่อทำเป็น Chocolate ในรูปแบบต่างๆ  

Food Fact, Tips & Tricks

Self-Rising Flour (รู้จักแป้งสาลีพร้อมขึ้นฟู)

เวลาอ่านตำราขนมอบของฝรั่ง บางครั้ง เราจะพบว่าสูตรมีการใช้ แป้งสาลีพร้อมขึ้นฟู หรือที่เรียกว่า Self- Rising Flour / Self- Raising Flour แป้งสาลีพร้อมขึ้นฟู (Self-Rising Flour) นั้นถูกคิดค้นโดยนักอบชาวอังกฤษในปี 1844 เพื่อใช้ในการทำขนมปังให้กะลาสีในกองทัพเรืออังกฤษ ซึ่งต่อมาได้ถูกเผยแพร่มายังสหรัฐอเมริกา และได้รับความนิยมโดยเฉพาะทางตอนใต้ โดยหลักการแล้ว แป้งตัวนี้ก็คือแป้งสาลีที่มีส่วนประกอบของสารช่วยขึ้นฟู (Leavening Agent) ผสมอยู่ ในบ้านเรา แป้งสาลีพร้อมขึ้นฟู (Self-Rising Flour) หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ หรือสามารถทดแทนได้ด้วย แป้งสาลีอเนกประสงค์ ผงฟู และเกลือ   ซึ่งอัตราส่วนในการทำ Self-Rising Flour ขึ้นใช้เอง คือ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถ้วย (140 กรัม) ต่อ ผงฟู 1 ½ ช้อนชา และ เกลือ ¼ ช้อนชา

Food Fact, Tips & Tricks

DIY 3 in 1 Chocolate Mix

เอาใจนักชงดื่มที่รักความสะดวก กับมิกซ์เครื่องดื่มช็อกโกแลตเข้มข้นที่คุณสามารถเตรียมไว้ล่วงหน้าได้ เพียงใส่น้ำร้อน นมร้อน น้ำนมถั่วเหลือง หรือแม้กระทั่งน้ำนมอัลมอนด์ ตามอารมณ์หรือระดับความข้นในรสชาติแบบที่ต้องการที่ต้องการ   ผงโกโก้ชนิดสีเข้ม 2 ถ้วย หางนมผง 2 ถ้วย น้ำตาลไอซิ่ง 2 ถ้วย How To Make ผสมส่วนประกอบทั้งหมดในชามผสม แล้วร่อนให้เข้ากัน บรรจุในขวดโหล How To Mix 3 in 1 Chocolate Drink 6 ช้อนโต๊ะ :น้ำร้อน หรือนมร้อนชนิดที่ต้องการ 200 มิลลิลิตร Gift Idea ผสมแล้วบรรจุ / แนบฉลากวิธีการชงดื่มพร้อมข้อความส่วนตัว / ผูกโบว์ให้สวยงาม

Food Fact

เค็ม…แต่ดี

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกลือเป็นส่วนประกอบสำหรับในการใช้ปรุงอาหาร เพราะนอกจากให้รสเค็มโดยตรงแล้ว รสเค็มยังทำหน้าที่ทำให้รสชาติอื่นๆ มีความโดดเด่นขึ้นมาอีกด้วย นอกจากนั้น เกลือยังมีบทบาทในการช่วยถนอมอาหารอีกด้วย ในการปรุงอาหาร เกลือมีหลากหลายประเภท อย่างแม็คคอร์มิคเกลือทะเล (Sea Salt) นั้น เป็นเกลือที่สกัดจากน้ำทะเลธรรมชาติจากทะเลเมดิเตอร์แรเนียน (French Mediterranean) ซึ่งไม่มีการใช้สารฟอกขาว และอุดมด้วยแร่ธาตุต่างๆ รวมถึงแร่ธาตุไอโอดีนจากน้ำทะเลมากกกว่าเกลือปรุงอาหารทั่วไป หรือเกลือเสริมไอโอดีน (Iodized Salt) ซึ่งเป็นเกลือสินเธาว์ที่มักทำในที่ๆ ห่างไกลทะเลอย่างเช่น เขตจังหวัดภาคอีสาน จึงต้องเติมไอโอดีนเพิ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคเป็นโรคคอหอยพอกนั่นเอง และในปัจจุบัน เราจะเห็นว่ามีเกลือทะเลที่สีชมพูอ่อนๆ ของแม็คคอร์มิคอยู่ในท้องตลาด เกลือที่เราเห็นนั้นคือ เกลือหิมาลายัน ซึ่งมีต้นกำเนิดมากจากบริเวณคาราโครัมแนวตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย เป็นเกลือที่มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูง และสะอาด เพราะเกิดจากการที่พลังงานแสงแดดจากพระอาทิตย์ทำให้ทะเลในยุคหลายร้อยล้านปีเกิดการแห้งลง เกิดเป็นผลึกของเกลือ โดยรวมแล้ว ทั้งเกลือทะเล และเกลือหิมาลายันของแม็คคอร์มิคนั้น เป็นเกลือจากธรรมชาติที่มีคุณค่าจากแร่ธาตุต่างๆ จากธรรมชาติเหมือนกัน แตกต่างกันที่แหล่งกำเนิดและสีของผลึกเกลือที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง

Food Fact

Oat story เรื่องของข้าวโอ๊ต

เมื่อพูดถึงข้าวโอ๊ต ภาพที่ลอยขึ้นมาในความคิดก็คือธัญพืชสีขาวนวลที่มีรสนุ่มนวล และหลายๆ คนก็รู้ว่าข้าวโอ๊ตนั้นต้องมีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการอย่างแน่นอน แต่อาจจะยังไม่รู้ว่ามีประโยชน์อย่างไร ข้าวโอ๊ต มีประโยชน์จริงๆ ครับ ไม่ใช่แต่กับมนุษย์เท่านั้น ข้าวโอ๊ตยังเป็นอาหารสัตว์อีกด้วย ข้าวโอ๊ตที่มนุษย์นิยมรับประทานจะอยู่ในรูปแบบเมล็ดบด (Rolled Oat) และเป็นข้าวโอ๊ตป่น (Oat Meal) รูปแบบของข้าวโอ๊ตที่เรานิยมรับประทานนั้นมีอยู่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่านำมาต้มกับนมหรือน้ำให้นุ่มเป็นโจ๊กข้าวโอ๊ต (Oat Porridge) หรือนำมาเป็นส่วนประกอบในขนมเค้ก คุกกี้ หรือขนมปัง ข้าวโอ๊ตสามารถรับประทานได้ดิบๆ อย่างอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนการสูงอย่างมูสลี่ (Muesli) หรือกราโนล่า (Granola) ก็มีส่วนผสมหลักเป็นข้าวโอ๊ตเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น หลายๆ คนคงไม่ทราบว่าข้าวโอ๊ตยังสามารถนำไปบ่มทำเบียร์ได้ด้วย คุณค่าทางโภชนาการของข้าวโอ๊ตที่เป็นที่กล่าวขานก็คือ ข้าวโอ๊ตนั้นมีสารประกอบที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคน ซึ่งเป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้อย่างดี สามารถช่วยดูดซับคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็กและขับเป็นของเสียออกมา การรับประทานโอ๊ตเป็นประจำจึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีต่อร่างกาย ซึ่งทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และโรคหัวใจ เมื่อเทียบกับธัญพืชชนิดอื่น ข้าวโอ๊ตจะเป็นไฟเบอร์ที่ย่อยง่าย กากใยเหล่านี้ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะลำไส้ทำงานได้ดี สามารถช่วยลดอาการท้องผูก และเมื่อรับประทานเข้าไปจะให้ความรู้สึกอิ่มไม่หิวระหว่างวันบ่อยๆ ข้าวโอ๊ตจึงเป็นอาหารในอุดมการณ์ของผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่มีโปรตีนสูงเมื่อเทียบกับธัญพืชชนิดอื่น และขนาดเดียวกัน ก็ถือเป็นแหล่งอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานสูง มีความสามารถในการดูดซับน้ำตาล ไขมัน และของเสียต่างๆ ได้ดี นอกจากการรับประทานข้าวโอ๊ตเป็นอาหารคาวหวานแล้ว ข้าวโอ๊ตยังถูกนำมาใช้บำรุงความงามได้ด้วย เพราะข้าวโอ๊ตมีวิตามินและเป็นกลีเซอรีนโดยธรรมชาติ ทำให้สามารถคงความชุ่มชื่นของผิวพรรณได้ คนที่ดูแลรักษาความงามจึงมักนิยมนำข้าวโอ๊ตมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วนำมาขัดผิว หรือพอกหน้า หรือแม้กระทั่งใช้ผสมอาบน้ำ ข้าวโอ๊ตจะช่วยทำให้ผิวเนียนและไม่มัน เพราะข้าวโอ๊ตสามารถดูดน้ำมันออกจากผิวได้ เห็นคุณค่าของข้าวโอ๊ตขนาดนี้แล้ว ผมก็อยากเชิญชวนให้ทุกคนรับประทานข้าวโอ๊ตกันมากขึ้นนะครับ ไม่ว่าในมื้อเช้า หรืออาจจะพกพาข้าวโอ๊ตในรูปแบบของบิสกิตติดตัวไว้เวลาที่หิว ทำให้อิ่มท้อง ไม่อ้วน และยังได้สุขภาพดีๆ แถมไปด้วยครับ

Food Fact

Italian Pasta อิตาเลี่ยนพาสต้า

จะมีสิ่งใดที่บ่งบอกถึงความเป็นอิตาลีได้ดีเท่าเรื่องของวัฒนธรรมอาหาร และจะมีอาหารใดที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมอาหารอิตาเลี่ยนได้ดีเท่าพาสต้า… ชาวอิตาเลี่ยนเองบริโภคพาสต้ามากกว่า 60 ปอนด์ต่อปี เทียบกับชาวอเมริกันที่บริโภคพาสต้าประมาณ 20 ปอนด์ เพราะความนิยมรับประทานพาสต้าของชาวอิตาเลี่ยน ทำให้การปลูกข้าวสาลีพันธุ์ดูรัมที่ใช้ผลิตเส้นพาสต้านั้น ดูเหมือนจะไม่เป็นที่เพียงพอต่อความต้องการ การนำเข้าข้าวสาลีพันธุ์ดูรัมจากต่างประเทศจึงเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนไหนของโลก เราก็สามารถหาเมนูพาสต้ารับประทานได้ และนี่เอง ก็ดูเหมือนจะเป็นปัญหาของการผลิตเส้นพาสต้าให้เพียงพอต่อความต้องการของคนทั้งโลก และแม้การผลิตเส้นพาสต้าจะมีเกิดขึ้นมากมายในหลากหลายแหล่งผลิต ประเทศอิตาลีก็ยังคงเป็นผู้ผลิตเส้นพาสต้าแบบดั้งเดิมที่ดีที่สุดอยู่ดี อย่างเส้นพาสต้าแบบแห้งในประเทศอิตาลีนั้น มีมากกว่า 350 รูปทรงที่แตกต่าง ไม่รวมถึงชื่อเรียกที่แตกต่างของต่างพื้นที่ รูปร่างของเส้นพาสต้าก็มีตั้งแต่แบบเส้นธรรมดา มาเป็นแบบหลอด โบว์ เกลียว หรือแม้กระทั่งรูปร่างเหมือนไม้เทนนิส แต่ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตาม กฏหมายอิตาลีกำหนดว่า เส้นพาสต้าจะต้องทำจากแป้งสาลีดูรัมเซโมริน่า 100% กับน้ำ ปัจจัยหลักที่ทำให้เส้นพาสต้าของอิตาลีโดดเด่น ก็คือการรีดแป้งขึ้นรูป และวิธีการตากเส้นให้แห้ง พาสต้าที่รูปทรงซับซ้อนถูกออกแบบมาเพื่อให้อุ้มตัวซอสได้ดี อย่างหลายๆ รูปทรงก็จะมีริ้ว รอยหยักต่างๆ การขึ้นรูปเส้นเหล่านี้ ถ้าเกิดจากหัวรีดเส้นพิมพ์ทองแดง จะทำให้เส้นมีพื้นผิวที่เกาะซอสได้ดีกว่าพาสต้าที่ผลิตจากพิมพ์เหล็ก ซึ่งผิวจะมีลักษณะลื่นไม่เกาะซอส หลังจากที่เส้นพาสต้าถูกตัดตามรูปทรงที่ต้องการแล้ว เส้นก็จะถูกตากให้แห้งในอุณหภูมิและช่วงเวลาที่เหมาะสม ขั้นตอนนี้ เป็นช่วงที่ผู้ผลิตพาสต้าที่ต้องการกำไรมากๆ จะใช้อุณหภูมิที่สูงเพื่อให้เส้นแห้งเร็วๆ ซึ่งต่างจากการทำเส้นแบบดั้งเดิมที่ควรจะปล่อยให้เส้นแห้งอย่างช้าๆ ไม่น้อยกว่า 50 ชั่วโมงในอุณหภูมิที่ไม่สูงเกินไป แล้วจึงนำไปบรรจุเพื่อทำการจำหน่าย เส้นที่ตากให้แห้งอย่างถูกต้องนั้น จะใช้เวลาในการต้มไม่นานมาก และเนื้อสัมผัสสามารถจับตัวซอสได้ดี เส้นพาสต้าไม่ว่าจะเป็นเส้นสดหรือแห้งก็ตาม ในขั้นตอนเริ่มต้นของการผลิตก็อยู่ในลักษณะของการทำสดทั้งนั้น เพียงแต่เส้นบางรูปแบบถูกออกแบบมาให้รับประทานแบบที่นุ่มขึ้น จึงเป็นที่มาของเส้นพาสต้าสด เส้นพาสต้าสดมีส่วนประกอบที่แตกต่างจากแบบแห้งเล็กน้อย ทางเหนือของอิตาลีจะใช้แป้งสาลีอเนกประสงค์และไข่ไก่ในการทำเส้น ส่วนทางใต้จะใช้แป้งดูรัมเซโมลินาและน้ำ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสูตรแต่ละสูตรไป การทำพาสต้าสดเป็นสิ่งที่ผู้ทำต้องการทำให้เห็นถึงความใส่ใจในการเตรียมแบบวันต่อวัน และต้องการจะโชว์ถึงสูตรพิเศษของตนที่มี อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ได้เป็นข้อที่กำหนดว่าเส้นสดจะต้องดีกว่าเส้นแห้งแต่อย่างไร เพียงแค่แตกต่างกันตามการใช้และเนื้อสัมผัสที่ต้องการเท่านั้นเอง เมนูจานพาสต้าบางจานต้องใช้เส้นสดเท่านั้น บางจานใช้เส้นแห้งเท่านั้น บางเมนูอาจใช้ได้ทั้งสองชนิดเป็นต้น ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปเยือนประเทศอิตาลี ลองหาร้านอาหารที่เสิร์ฟเส้นสด ดูที่มั่นใจว่าผลิตวันต่อวัน ลองสัมผัสถึงความแตกต่างดู เส้นพาสต้าไม่ว่าสดหรือแห้ง ล้วนมีบุคลิกที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามเส้นทั้งสองก็เป็นสิ่งบ่งบอกถึงวัฒนธรรมอาหารของชาวอิตาเลี่ยนที่ชัดเจนที่สุด

next

End of content

No more pages to load